
Creative commons
ใครที่เคยเห็นเครื่องหมาย CC ตามด้านล่างของงานต่างๆทั้งงานเขียน ภาพถ่าย หรืองานอาร์ทเวิร์คเคยสงสัยไม๊ครับว่ามันคืออะไร หลายคนคงแน่้ใจว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ชัวร์ๆ แต่มันคืออะไรทำไมมีไอคอนอะไรมากมาย คำตอบคือข้างล่างนี่เลยครับ
” ในทุกวันนี้ ผลงานทางด้านการสร้างสรรค์ต่างๆอันมีลิขสิทธิ์ได้เกิดขึ้นมาอย่างมากมายในแต่ละวัน ช่องทางในการนำเสนอผลงานของตัวเองยิ่งจะมีความรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ มีทางเลือกต่างๆ มีรูปแบบต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นงานทางด้านวรรณกรรม งานศิลปะ งานดนตรี ฯลฯ ซึ่งตามกฏหมายทางด้านลิขสิทธิ์ เมื่อมีงานที่สร้างสรรค์เกิดขึ้นแล้ว ผู้สร้างสรรค์งานนั้นจะมีลิขสิทธิ์กับงานชิ้นนั้นเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติและไม่ต้องมีการจดทะเบียนแต่อย่างใด ทว่าความชัดเจนของข้อกำหนดต่างๆในการนำงานไปเผยแพร่นั้นมีข้อจำกัดอย่างยิ่ง
สำหรับการนำเอางานทางด้านลิขสิทธิ์ไปเผยแพร่ในปัจจุบัน จะมีอยู่ 2 กรณีคือ Copyright หรือ © ที่เรารู้จักกันดี ซึ่งจะมีความหมายในแง่ของการปกป้องสิทธิ์ทุกอย่าง หรือ All rights reserved และลิขสิทธิ์ที่เป็น public domain ซึ่งหมายถึงการที่สามารถนำงานที่มีลิขสิทธิ์ต่างๆไปใช้ได้อย่างอิสระ แต่ทว่าทั้ง 2 อย่างนั้นอยู่กันคนละด้านและไม่มีจุดกึ่งกลาง ผู้สร้างสรรค์งานหลายๆคนเองก็ต้องการที่จะเผยแพร่งานของตัวเองสู่สาธารณะชนบ้าง แต่ขณะเดียวกันก็อยากที่จะจำกัดวัตถุประสงค์บางอย่างสำหรับการนำไปใช้เผยแพร่ในแหล่งต่างๆ
Creative commons ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรและเกิดจากการรวมกลุ่มของบุคคลหลายสาขาอาชีพ จึงได้ถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดของความต้องการที่จะเผยแพร่งานทางด้านลิขสิทธิ์ แต่ต้องการสงวนและรักษาสิทธิ์บางอย่างไว้ องค์กรนี้ก่อตั้งเมื่อปี 2001 และเริ่มต้นการทำงานครั้งแรกในเดือนธันวาคม ปี 2002 ซึ่งระบบการทำงานของ CCจะสามารถแสดงข้อกำหนดทางด้านลิขสิทธิ์ได้ถึง 3 แบบจากการทำงานในแบบอัตโนมัติผ่านทาง code ของ www.creativecommons.org คือ
1. Common Deeds เป็นรูปแบบที่บุคคลทั่วไปสามารถอ่านและทำความเข้าใจได้ง่าย และมี Icon ประกอบเห็นชัดเจน
2. Legal Code เป็นรูปแบบที่เขียนขึ้นในภาษาทางด้านกฏหมาย และสามารถนำไปอ้างอิงในชั้นศาลได้
3.Digital Code เป็น code ที่สามารถนำไปฝังไว้ เพื่อให้ search engine ต่างๆ สามารถตรวจพบข้อกำหนดต่างๆ ของการอนุญาตให้ใช้สิทธิได้ตามมาตรฐานของ CC
รูปแบบของการแบ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 หมวดดังต่อไปนี้
” ในทุกวันนี้ ผลงานทางด้านการสร้างสรรค์ต่างๆอันมีลิขสิทธิ์ได้เกิดขึ้นมาอย่างมากมายในแต่ละวัน ช่องทางในการนำเสนอผลงานของตัวเองยิ่งจะมีความรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ มีทางเลือกต่างๆ มีรูปแบบต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นงานทางด้านวรรณกรรม งานศิลปะ งานดนตรี ฯลฯ ซึ่งตามกฏหมายทางด้านลิขสิทธิ์ เมื่อมีงานที่สร้างสรรค์เกิดขึ้นแล้ว ผู้สร้างสรรค์งานนั้นจะมีลิขสิทธิ์กับงานชิ้นนั้นเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติและไม่ต้องมีการจดทะเบียนแต่อย่างใด ทว่าความชัดเจนของข้อกำหนดต่างๆในการนำงานไปเผยแพร่นั้นมีข้อจำกัดอย่างยิ่ง
สำหรับการนำเอางานทางด้านลิขสิทธิ์ไปเผยแพร่ในปัจจุบัน จะมีอยู่ 2 กรณีคือ Copyright หรือ © ที่เรารู้จักกันดี ซึ่งจะมีความหมายในแง่ของการปกป้องสิทธิ์ทุกอย่าง หรือ All rights reserved และลิขสิทธิ์ที่เป็น public domain ซึ่งหมายถึงการที่สามารถนำงานที่มีลิขสิทธิ์ต่างๆไปใช้ได้อย่างอิสระ แต่ทว่าทั้ง 2 อย่างนั้นอยู่กันคนละด้านและไม่มีจุดกึ่งกลาง ผู้สร้างสรรค์งานหลายๆคนเองก็ต้องการที่จะเผยแพร่งานของตัวเองสู่สาธารณะชนบ้าง แต่ขณะเดียวกันก็อยากที่จะจำกัดวัตถุประสงค์บางอย่างสำหรับการนำไปใช้เผยแพร่ในแหล่งต่างๆ
Creative commons ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรและเกิดจากการรวมกลุ่มของบุคคลหลายสาขาอาชีพ จึงได้ถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดของความต้องการที่จะเผยแพร่งานทางด้านลิขสิทธิ์ แต่ต้องการสงวนและรักษาสิทธิ์บางอย่างไว้ องค์กรนี้ก่อตั้งเมื่อปี 2001 และเริ่มต้นการทำงานครั้งแรกในเดือนธันวาคม ปี 2002 ซึ่งระบบการทำงานของ CCจะสามารถแสดงข้อกำหนดทางด้านลิขสิทธิ์ได้ถึง 3 แบบจากการทำงานในแบบอัตโนมัติผ่านทาง code ของ www.creativecommons.org คือ
1. Common Deeds เป็นรูปแบบที่บุคคลทั่วไปสามารถอ่านและทำความเข้าใจได้ง่าย และมี Icon ประกอบเห็นชัดเจน
2. Legal Code เป็นรูปแบบที่เขียนขึ้นในภาษาทางด้านกฏหมาย และสามารถนำไปอ้างอิงในชั้นศาลได้
3.Digital Code เป็น code ที่สามารถนำไปฝังไว้ เพื่อให้ search engine ต่างๆ สามารถตรวจพบข้อกำหนดต่างๆ ของการอนุญาตให้ใช้สิทธิได้ตามมาตรฐานของ CC
รูปแบบของการแบ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 หมวดดังต่อไปนี้

No Derivative Works. งานชิ้นนี้สามารถที่จะคัดลอก เผยแพร่ เปิดเผย แสดงได้ตามรูปแบบเดิมเท่านั้น ไม่สามารถนำไปดัดแปลงเพื่อนำไปใช้งานในกรณีใดๆ

Share Alike. อนุญาตให้เผยแพร่งานดัดแปลงจากชิ้นงานเดิมได้ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของชิ้นงานเดิมทุกประการ
Note: Share Alike จะมีผลเพียงงานที่สามารถนำไปดัดแปลงได้เท่านั้น ไม่สามารถจะใช้งานควบ
Note: Share Alike จะมีผลเพียงงานที่สามารถนำไปดัดแปลงได้เท่านั้น ไม่สามารถจะใช้งานควบ
คู่กันระหว่างShare Alike และ No Derivative Works ได้
นอกจากนี้ยังมีอีกมาตรฐานต่างๆ ที่แบ่งย่อยและกำหนดออกมาใช้ เช่น การ Sampling หรือตัดเอาส่วนหนึ่งส่วนใดของเพลงมาใช้ประกอบในงานชิ้นอื่นๆ เช่นการนำเพลงไปประกอบใน videoclip หรือการอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ในประเทศที่กำลังพัฒนา
ซึ่งในปัจจุบัน Creative Commons ได้รับความนิยมจากผู้ให้บริการชั้นนำต่างๆมากมาย และล่าสุดทาง Microsoft เองก็เปิดให้download ชุดข้อตกลงแบบ CC เพื่อฝังลงไปในเอกสารต่างๆที่ทำจาก Microsoft Office ไม่ว่าจะเป็น Word, Powerpoint, Excel, Visio และซอฟท์แวร์ทั้งชุดของ MS Office เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงนับว่ามีความน่าสนใจ และเป็นการกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจนขึ้นในการเผยแพร่ผลงานต่างๆ ที่นับวันยิ่งจะมีปัญหาความขัดแย้งทางด้านการยืนยันการเป็นเจ้าของผลงานต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นสามารถผสมผสานรูปแบบการอนุญาตได้ถึง 11 รูปแบบ เช่นถ้าต้ิองการอนุญาตให้บทความ ก. ไม่สามารถดัดแปลง และไม่ต้องการให้บทความนี้ถูกใช้ในเชิงพาณิชย์ก็จะใช้
ซึ่งในปัจจุบัน Creative Commons ได้รับความนิยมจากผู้ให้บริการชั้นนำต่างๆมากมาย และล่าสุดทาง Microsoft เองก็เปิดให้download ชุดข้อตกลงแบบ CC เพื่อฝังลงไปในเอกสารต่างๆที่ทำจาก Microsoft Office ไม่ว่าจะเป็น Word, Powerpoint, Excel, Visio และซอฟท์แวร์ทั้งชุดของ MS Office เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงนับว่ามีความน่าสนใจ และเป็นการกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจนขึ้นในการเผยแพร่ผลงานต่างๆ ที่นับวันยิ่งจะมีปัญหาความขัดแย้งทางด้านการยืนยันการเป็นเจ้าของผลงานต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นสามารถผสมผสานรูปแบบการอนุญาตได้ถึง 11 รูปแบบ เช่นถ้าต้ิองการอนุญาตให้บทความ ก. ไม่สามารถดัดแปลง และไม่ต้องการให้บทความนี้ถูกใช้ในเชิงพาณิชย์ก็จะใช้
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : คุณ Nora
ข้อมูลเพิ่มเติมดูได้ที่ : http://creativecommons.org/licenses/by-nc-sa/3.0/th/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น